แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงาน ในปี 2565 โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย (Booking) 31,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท
วันที่ 13 มกราคม 2565 นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานคณะกรรมการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2564 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 19,680 ล้านบาท
ทั้งนี้ สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ โดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบ : คอนโดมิเนียม คือ 97%: 3%
เมื่อจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพและปริมณฑลยังคงเป็นพื้นที่หลักในการสร้างยอดขาย โดยมีสัดส่วนยอดขายข 92% เปรียบเทียบกับยอดขายของโครงการในต่างจังหวัดมีสัดส่วน 8%
เซกเมนต์หลักของบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทมียอดขาย 53% ใกล้เคียงกับบ้านระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทซึ่งมียอดขายสัดส่วน 47%
ปี 2564 บริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็นซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย 5,100 ล้านบาท, ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าโดยผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 3,900 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.พัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 จำนวน 1,285 ล้านบาท 2.พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเม้นต์ 2,615 ล้านบาท
ปี 2564 บริษัท LHMH มีโครงการที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 6 โครงการ และยังมีอีก 1 โครงการที่รอการส่งมอบที่ดิน คือแปลงที่ดิน Peninsula Plaza ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการ Grande Centre Point Ratchadamri 2
ทั้งนี้ เดือนธันวาคม 2564 บริษัท LH USA ได้เข้าซื้อโรงแรม The SpringHill Suites by Marriott ในเมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นการซื้อขาดและได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในที่ดิน พื้นที่ 2.07 เอเคอร์ จำนวนห้องพัก 120 ห้อง ราคา 31 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,056 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ระยะเวลา 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.40% ต่อปี ข้อมูล ณ สิ้นปี 2564 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ มีจำนวน 50,800 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 101% และมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.15%
นายนพรกล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 29,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2564
โดยบริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมด 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วยงบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท กับงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 4,000 ล้านบาท
บริษัทมีแผนประกาศขายอพาร์ตเม้นต์ในสหรัฐอเมริกา และยังหาโอกาสที่จะลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม รวมทั้งมีแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ในระดับที่ลดลงจากสิ้นปี 2564 โดยอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100%
ข้อมูล ณ ต้นปี 2564 มีจำนวนโครงการอยู่ระหว่างขายทั้งสิ้น 75 โครงการ อยู่ในกรุงเทพ-ปริมณฑล 45 โครงการ ต่างจังหวัด 30 โครงการ มีโครงการเปิดใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 19,680 ล้านบาท โดยไม่มีการเปิดคอนโดมิเนียมเลย
เมื่อแยกตามประเภทสินค้าที่อยู่อาศัยตามโครงการเปิดใหม่ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว 5 โครงการ, บ้านแฝด 2 โครงการ, ทาวน์เฮ้าส์ 5 เบ็ดเสร็จบริษัทมีโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2564 ทั้งหมด 85 โครงการ มีโครงการปิดการขายระหว่างปี 11 โครงการ
ดังนั้น ณ สิ้นปี 2564 มีโครงการที่ยกไปดำเนินการต่อในปี 2565 เป็นจำนวน 74 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 53,300 ล้านบาท
สำหรับจำนวนโครงการในปี 2565 ณ ต้นปี 2565 มีจำนวนโครงการที่ดำเนินการทั้งสิ้น 74 โครงการ อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล 44 โครงการ ต่างจังหวัด 30 โครงการ
บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 29,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2564 อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 12 โครงการ และต่างจังหวัด 3 โครงการ
เมื่อแยกตามประเภทสินค้า ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 11 โครงการ, บ้านแฝด 4 โครงการ, ทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มีผลให้จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2565 มีทั้งหมด 89 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 82,900 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยขายในปี 2565 เท่ากับ 7.4 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 7.6 ล้านบาท
ขอบคุณที่มาจาก prachacha
อ่านข่าวสารอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ Blog ของเรา คลิก Home Connect