เส้นทาง “เศรษฐา ทวีสิน” & “แสนสิริ” ต่อจากนี้ไป ยังไงต่อ!!!
จับตาเส้นทางของ “เศรษฐา ทวีสิน” 1 ในบัญชีคู่แข่งนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย พร้อมกับองค์กรและแบรนด์ “แสนสิริ” ต่อจากนี้ !!!
จากการที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมเสวนาในคลับเฮาส์ของกลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย ได้ไกด์ไลน์ว่า “แคนดิเดต” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะมีบุคคลิกลักษณะเหมือนกับตนเอง
ที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า เขาจะวางมือจากธุรกิจอสังหาฯมาสวมเสื้อของพรรคเพื่อไทยหลังเปลี่ยนโลโก้ใหม่เป็นสีแดง จากก่อนหน้านี้แค่ผูกไทด์ สวมถุงเท้าสีแดงมาตลอด ทั้งนี้เนื่องจากสไตล์การทำงานของเศรษฐา นั้นมีความคล้ายคลึงกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ชัดเจน !!!
ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น สไตล์การพูด บุคลิก ที่มีความเป็นผู้นำกล้าแสดงออก ในประเด็นต่างๆ รวมถึงประเด็นทางการเมือง ที่มีความสุ่มเสี่ยง ไม่มีคำถามไหนที่ไม่มีคำตอบ
จนกลายเป็น “ซีอีโอสาย Call out!!” ผ่านโซเซียลมีเดียที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่าง Twitter และเป็นไอดอลที่พวกเขาอยากทำงานด้วย เนื่องจากมีความรอบรู้ทั้งโลกเก่าและโลกใหม่ เป็นอย่างดี ไม่นับรวมถึงคอนเน็กชั่นที่แข็งแกร่ง ทั้งในสายการเมือง ธุรกิจ
จึงเป็น “จุดขาย” ที่สร้างความแตกต่างให้กับพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่ร้อนแรง ทั้งจากพรรคโลกเก่าและพรรคโลกใหม่หัวก้าวไกล ที่เติมเต็ม “ช่องว่าง” ทางการตลาดให้กับพรรคเพื่อไทยสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้
โดยที่ผ่านมาเศรษฐา ให้ความสำคัญกับการแก้ไข “ปัญหาความเหลื่อมล้ำ” โดยมองว่าเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลดำเนินการ เพราะหลังจากเกิดโควิด-19 สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คือ ช่องว่างทางด้าน “ความมั่งคั่ง” ระหว่าง “คนมี” กับ “คนไม่มี” กำลังขยายตัวกว้างขึ้นอย่างน่ากลัวและจะเป็นการปรับฐานสมดุลย์ทางด้านความมั่งคั่งที่ทำให้โอกาสเกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากมาก
“วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้เป็นอุบัติการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ทาง โดยเฉพาะการพังทลายของระบบเศรษฐกิจการค้าที่ยังหาจุดจบไม่ได้ และดูเหมือนทุกคนจะโดนผลกระทบเหมือนๆ กัน”
เขามองว่า รัฐบาลสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ ด้วยการปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีใหม่ เรียกเก็บจากคนที่แข็งแรงอยู่บนยอดพีระมิด ไม่ว่าจะเป็นภาษีความมั่งคั่ง ภาษีมรดกเพื่อนำรายได้จากภาษีเหล่านี้มาชดเชยรายจ่ายที่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติโควิด ควรพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการกระตุ้นการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ให้อินเซนทีฟ และเอื้อนักลงทุน ดึงดูดให้มาลงทุนในประเทศไทย
ทั้งนี้เพราะไทยมีความได้เปรียบในเรื่องทำเลที่ตั้ง และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้วขณะเดียวกันก็ต้องมีการพยุงราคาสินค้า หรือจะเรียกว่าประกันราคาสินค้า จำนำ หรือจ้างผลิต สำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ อย่าง ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และอ้อย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลับไปสร้างผลิตผลทางการเกษตรพอที่เลี้ยงครอบครัว
อย่างไรก็ตาม หากมีวันที่เศรษฐา ทวีสิน ก้าวออกไปสู่เส้นการเมืองส่วนของบริษัทแสนสิริ ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปภายใต้การบริหารงานแบบมืออาชีพตามที่เศรษฐา เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“ทุกวันนี้แสนสิริขับเคลื่อนองค์กรอย่างมืออาชีพ ต่อให้ผมไม่อยู่ พวกเขาสามารถทำงานต่อไปได้ไม่มีปัญหา”
แม้ที่ผ่านมา เศรษฐา จะเป็นเสมือนอินฟลูเอนเซอร์ หรือ ผู้มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียลที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์แสนสิริที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่ถ้าวันหนึ่ง เศรษฐา วางมือจากธุรกิจอสังหาฯ ไปโลดแล่นบนสายการเมืองจริง องค์กรแสนสิริสามารถมูฟออนต่อไปได้แน่นอน
เพราะแค่กระแสเศรษฐา ทวีสิน กลายเป็นเป็น 1 ในบัญชีคู่แข่งนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย หุ้นแสนสิริก็พุ่งแล้ว จริงไหม?
ขอบคุณที่มาจาก bangkokbiznews
อ่านข่าวสารอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ Blog ของเรา คลิก Home Connect