2564 เรียกได้ว่าเป็น ปีทอง ของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี หรือคริปโท ได้แรงหนุนส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ประกอบการอสังหาฯ11 ราย โดดเข้าไปเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคซื้อคอนโด/บ้านผ่านสกุลเงินดิจิทัล
ต้องยอมรับว่า “ตัวเร่ง” ที่ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ตัดสินใจโดดลงมาเล่น เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีคิดแบบเดิมๆเพราะพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน มาตรการป้องกันโรคระบาด เช่น การรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทำให้การขายในรูปแบบเดิมหยุดชะงักไป จึงเป็นเวลาของแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ” บิทคับ” จึงกลายเป็นคำตอบสุดท้ายในการเข้ามาทดลองตลาดคริปโทเคอร์เรนซี และเมื่อธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) หรือ “SCBX” ประกาศลงทุน 1.78 หมื่นล้านบาทในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ “Bitkub” ธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ยิ่งหนุนให้กระแสคริปโทร้อนแรงยิ่งขึ้น
โดยก่อนหน้านั้นทางอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศความร่วมมือกับบิทคับ รับชำระเงินซื้อขายบ้านและคอนโดมิเนียมของอนันดาฯ ทุกโครงการผ่านคริปโทเคอเรนซี 3 สกุลเงินดิจิทัลได้แก่ Bitcoin: BTC, Ethereum: ETH และ Tether USD: USDT หลังจากนั้นบรรดาผู้ประกอบการอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นออริจิ้น ,ชาญอิสระ, แอสเซสไวส์ และล่าสุดเมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ที่เข้ามาใช้บริการของ” บิทคับ” ในการ รับชำระเงินซื้อขายบ้านและคอนโดมิเนียมด้วยคริปโท ตามสกุลที่บริษัทเลือก
“กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดิจิทัลแอสเสท เข้ามาเป็นตัวเสริม ทำให้ลูกค้าเกิดความสะดวกสบายขึ้น ในอนาคตดิจิทัลแอสเสทจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ที่สำคัญจะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจและสร้างรายได้ เนื่องจากลูกค้าหลักของแอสเซทไวส์เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้คริปโท
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ 30-40% นักลงทุน 20-30%
ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของแอสเซทไวท์ในการทำดิจิทัลแอสเสท คู่ขนานกันเพื่อรองรับกับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และขยายโอกาสทางธุรกิจ ที่แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่มีอยู่ในมือก่อน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีควาสนใจและศักยภาพในการซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุน ในรูปแบบของ “assetToken” ซึ่งต่างจาก “หุ้น” ตรงที่สามารถซื้อขาย (Trade) ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 7 วัน โดยไม่ต้องรอเวลาตลาดเปิด-ปิดแบบหุ้น
กรมเชษฐ์ มองว่า การเข้ามาของ ดิจิทัลแอสเสท ถูกจังหวะเวลา! ในการเพิ่มโอกาสในการขายอสังหาฯ เพราะ ในอนาคตการทำธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญไปสู่โลก “ดิจิทัล” หากไม่ปรับตัว หรือปรับเปลี่ยนที่เร็วพอ จะถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดหรือล้มหายตายจากไปในที่สุด
สอดคล้องกับ เศรษฐา ทวีสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากจุดแข็งของแสนสิริที่มีการพัฒนาโครงการมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท และจำนวนฐานลูกค้าในมือกว่า 100,000 ราย ทำให้มองเห็นถึง “โอกาส”จากการเปิดรับสกุลเงินดิจิทัล สามารถใช้คริปโทซื้อบ้าน-คอนโดมิเนียมของแสนสิริได้ทุกโครงการ รวมถึงยังใช้จ่ายค่าส่วนกลางได้ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวของการเติบโตในการสร้างรายได้เพิ่ม โดยเปิดรับคริปโท 4 สกุล ได้แก่ Bitcoin, Ethereum (ETH), USDC และ USDT ผ่านทาง Bitazza
ด้วยการลงทุนใน “XSpring”หรือบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจรที่เชื่อมโลกการเงินปัจจุบันกับโลกการเงินดิจิทัล โดยแสนสิริเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง ในสัดส่วน 15% ด้วยเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้สิงห์ เอสเตท จับมือกับ Genesis Block ในฮ่องกง ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระบบนอกตลาด (OTC)เพื่อเปิดทางให้ชาวต่างชาติที่ถือสกุลเงินดิจิทัล สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ขณะที่ค่าย MQDC ,เจ้าพระยามหาคร ,เอสซี แอทเสท ,แกรนด์ แอสเเสท ใช้แพลตฟอร์มของZipmexในการรับคริปโทเคอร์เรนซี
อัญชลี เลิศสุวรรณรัชต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไลฟ์สไตล์ในการดำรงชีวิตของทุกเจเนอรชัน เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน รวมถึงการลงทุนทาง ดิจิทัลแอสเสท ด้วยคริปโทเคอร์เรนซี ที่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะซื้อเก็บเหรียญเก็งกำไร เริ่มเป็นสื่อกลางการทำธุรกรรมทางการเงินแห่งอนาคต ดังนั้นทางโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” ได้เห็นแนวโน้มในการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยการใช้ ดิจิทัลแอสเสท
ล่าสุด จึงได้ร่วมมือกับซิปเม็กซ์ ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับการซื้อห้องชุดโดยชำระผ่านคริปโท เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทโดยรองรับเหรียญสกุลหลักถึง 6 สกุลเงินทั้งสายเทรด และสายฟาร์มได้แก่ บิตคอยน์ , อีเธอเรียม, เทเทอร์, ริปเปิล , ไลท์คอยน์ และ ZMT (Zipmex Token) ซึ่งเป็นเหรียญของทาง Zipmex เอง ลูกค้าสามารถชำระผ่านWalletจากซิปเม็กซ์โดยสามารถซื้อขายผ่านคริปโทเคอร์เรนซีได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
โลกในทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก มีการลงทุนแบบใหม่ การหาผลตอบแทนแบบใหม่ จึงเกิดเป็นความร่วมมือในครั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่ รวดเร็ว สะดวกสบาย ให้กับลูกค้าถือว่าเป็นการก้าวเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนยุคใหม่” นางสาวอัญชลี กล่าว
ขณะที่ “พีระพงศ์ จรูญเอก ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากวิกฤติโควิดทำให้ธุรกิจอสังหาฯปรับตัวเข้าพฤติกรรม ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของบ้านและคอนโดให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิต และขยายธุรกิจที่รองรับกับความต้องการของลูกค้าในอนาคต รวมถึงการเปิดโอกาสนักลงทุนรุ่นใหม่ทั้งสายเทรดและสายฟาร์มเลือกซื้อบ้านและคอนโดผ่านบิทคับรองรับเหรียญคริปโต 3 สกุลได้แก่อีเธอเรียม เทเทอร์ และบิทคอยน์
” อสังหาฯ เป็นสินค้าที่มูลค่าสูงต้องใช้เงินจำนวนมากการชำระด้วยคริปโต มีความสะดวกรวดเร็วสามารถกดโอนเงินได้ทันทีไม่ถึง20 นาทีได้รับเงินแล้วขณะที่ถ้าเป็นกระบวนการเดิมใช้ระยะเวลา7-14วันกรณีทีมีเงินสดทำให้ไม่เสียโอกาส ยิ่งถ้าเป็นการซื้อขายกับต่างประเทศ ทำให้ง่ายขึ้น ฉะนั้นการจ่ายเงินซื้อบ้านใยยุคนี้ต้องเป็นคริปโต ซึ่งหลังจากล้อนช์แคมเปญออกไปมีทั้งคนไทบและต่างประเทศให้การตอบรับที่ดี”
ดังนั้นในปี2565 บริษัทมีแผนออกเหรียญ“P Coin”ม.ค.ปี65เพื่อนำมาใช้ในแพลตฟอร์มของออริจิ้นได้เสมือนเป็นคูปองดิจิทัลสามารถใช้บริการตามที่ต้องการได้
” วันนี้ออริจิ้นไม่ได้ขายบ้าน แต่ขายประสบการณ์การใช้ชีวิตให้กับลูกค้าทุกมิติเป็นการต่อยอดจากธุรกิจอสังหาฯ โดยผ่านดิจิทัลวอลเล็ตในเครือ และในอนาคตเหรียญP Coinจะสามารถไปลิงค์กับ JFin Coin ของเจ มาร์ท ได้ด้วยเป็นการเชื่อมโยงอีโคซิสเท็มออริจิ้นกรุ๊ปกับเจ มาร์ทกรุ๊ป ”
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาวิธีการ”ระดมทุน”ในรูปแบบของ เรียลเอสเตท แบล็คโทเทคคล้ายกับสิริฮับโทเคนที่ออกมาเนื่องจากออริจิ้นทำคอนโดที่มีการลงทุนขายไปแล้วลงทุนกลับมาให้กับลูกค้า
โดยการเปลี่ยนจากการขายเป็นยูนิตมาขายเป็นตารางฟุต ซึ่งมีลักษณะคล้ายรีท ที่มีผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ Decentralizedทำให้คนตัวเล็กเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้นด้วยการลงทุนผ่านโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ผู้ถือจะได้รับสิทธิการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ คล้ายคลึงกับการถือหน่วยลงทุน เช่น สิทธิจากส่วนแบ่งรายได้ หรือผลกำไรจากการลงทุน ตามสัดส่วนโทเคนที่เข้าไปลงทุน ซึ่งเป็นแนวทางการทำดิจิทัลแอทเสทของออริจิ้น เริ่มจากต้นปีและกลางปี2565 ตามลำดับ
“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่าปัจจุบันmarket capของคริปโทมีมูลค่ามากกว่า2ล้านล้านเหรียญสหรัฐเติบโตจากปี2562ถึง 10 เท่า
ขณะที่จำนวนผู้ใช้คริปโทต้นปี 2564 มีจำนวนผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคน เพิ่มจากเดิม 35 ล้านคนในเวลา 2 ปีและมีการคาดการณ์จากกลุ่ม SFA (Singapore FinTech Association)ระบุว่าจะเติบโตจาก 100 ล้าน เป็น 300 ล้านคนในปี 2564 การที่ผู้ใช้มีความคุ้นชิน ได้รับความสะดวก และมีความเชื่อมั่นที่มากขึ้นในสินทรัพย์ดิจิตอล โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่จะทำให้คริปโทได้รับความนิยมมากขึ้นอีกในอนาคต
ทั้งนี้จากจำนวนผู้ใช้คริปโทเคอร์เรนซี ที่มากขึ้น และดีมานด์ของอสังหาฯ ที่สูงขึ้นจากการเปิดประเทศ จะเป็นลมส่งสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2565 บริษัทจึงร่วมกับ Zipmex แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลเปิดรับ 5สกุลเงินดิจิทัลซื้อบ้านและคอนโดทุกแห่ง รองรับการขยายฐานกลุ่มลูกค้าอนาคตทั้งในไทยและต่างประเทศเริ่มวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากบริษัทมีโรดแมพสำคัญทำผ่านคริปโท เริ่มจากการออก “SC Morning Coin “ในปี2565 ซึ่งเป็น utility token เพื่อประโยชน์ของพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า และนักลงทุนที่หลากหลายรวมกว่า 400,000 คน ภายใน ecosystem ของ SC เป็นการต่อยอดจาก SC token ที่ปัจจุบันใช้กันภายในองค์กรอยู่แล้ว
ถัดมาเป็นการทำ ICO (Initial Coin Offering) ซึ่งเป็น security token เพื่อการระดมทุนภายใน 3 ปีนี้ ปัจจุบัน SC มีสินทรัพย์ที่สร้าง recurring income มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท และมองหาโอกาสที่จะทำ NFT (Non-Fungible Tokens)ในปีหน้า
ขอบคุณที่มาจาก bangkokbiznews
อ่านข่าวสารอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ Blog ของเรา คลิก Home Connect